การป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ โดยการให้”ผู้เคยกระทำความผิดทางอาญา”เข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ

ดาวน์โหลดงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ PDF

สรุปสาระสำคัญ

โครงการการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำโดยการให้ผู้เคยกระทำความผิดทางอาญาเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ เป็นแนวคิดที่ริเริ่มขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง ผ่านการลดการกระทำผิดซ้ำและส่งเสริมการคืนคนดีสู่สังคม การที่ผู้เคยกระทำผิดถูกตีตราจากสังคม ส่งผลต่อโอกาสการประกอบอาชีพและการกลับคืนสู่สังคมอย่างรุนแรง ทำให้บุคคลเหล่านี้ขาดโอกาสในการมีรายได้ ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำ การปิดกั้นไม่ให้ผู้พ้นโทษมีโอกาสทำงานในภาครัฐนั้นยังถือเป็นการเลือกปฏิบัติซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่ยึดถือในรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ โครงการนี้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานผู้พ้นโทษ เช่น พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ที่ห้ามผู้เคยต้องโทษเข้ารับราชการ โดยแนะนำว่าควรพิจารณาเป็นรายกรณีตามระดับความผิด ความร้ายแรง โอกาสกระทำผิดซ้ำ และข้อมูลด้านบุคลิกภาพมากกว่าการตัดสินจากประวัติอาชญากรรมแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้การคัดเลือกเป็นธรรมและโปร่งใส โครงการได้เสนอการพัฒนา 'แบบประเมินความเหมาะสม' ใน 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านลักษณะความผิดที่เคยกระทำ (2) ด้านโอกาสกระทำผิดซ้ำ และ (3) ด้านข้อมูลบุคคล เช่น ความสามารถในการปรับตัว ความมั่นคงทางอารมณ์ และความตั้งใจในการฟื้นฟูตนเอง นอกจากนี้ โครงการยังเสนอการแบ่งประเภทงานที่เหมาะสมให้กับผู้พ้นโทษ เช่น งาน Back Office ที่ไม่ต้องติดต่อประชาชนโดยตรง หรืองานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือข้อมูลสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สังคมและลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ในระดับนโยบาย โครงการเน้นให้ภาครัฐเริ่มต้นสร้างบรรทัดฐานใหม่ ไม่เลือกปฏิบัติ เปิดโอกาสให้กับผู้เคยผิดพลาดได้มีส่วนร่วมในสังคมอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการสร้างพันธสัญญาระหว่างรัฐและประชาชน ในการร่วมกันลดปัญหาอาชญากรรมและสร้างสังคมที่ปลอดภัยยั่งยืน ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนแนวคิดนี้ เช่น โครงการกำลังใจในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่พบว่าผู้พ้นโทษที่ได้รับการช่วยเหลือมีอัตราการกระทำผิดซ้ำเพียง 0.18% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกรมราชทัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี การเปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษเข้าทำงานภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการคัดกรองและติดตามอย่างรอบคอบ เช่น กำหนดระยะเวลาฟื้นฟูขั้นต่ำก่อนสมัครงาน พิจารณาลักษณะความผิดเป็นรายกรณี และมีการอบรมหรือฟื้นฟูเพิ่มเติมระหว่างปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่หน่วยงานและสังคมโดยรวม โครงการนี้ยังเน้นการสร้างความเข้าใจในสังคมโดยใช้ทฤษฎี 'Labeling Theory' ซึ่งชี้ว่า การตีตราผู้กระทำผิดเป็นอาชญากรถาวรจะยิ่งผลักให้คนเหล่านั้นกลับไปสู่การกระทำผิดซ้ำ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมให้ยอมรับการแก้ไขตนเองจึงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในระยะยาว หากดำเนินการได้สำเร็จ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะลดอัตราการกระทำผิดซ้ำได้เท่านั้น แต่ยังจะช่วยลดความแออัดในเรือนจำ ประหยัดงบประมาณภาครัฐ เสริมกำลังแรงงานในตลาด และสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ด้วยความตั้งใจดังกล่าว โครงการนี้จึงถือเป็นการปฏิรูประบบยุติธรรมเชิงป้องกันอย่างแท้จริง สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการ

ผู้เคยกระทำความผิดทางอาญา หรือผู้พ้นโทษที่ต้องการโอกาสในการเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ

ความเกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม

เป็นการส่งเสริมการฟื้นฟูผู้กระทำผิดในกระบวนการยุติธรรม ลดอัตรากระทำผิดซ้ำ สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และสนับสนุนความเป็นธรรมในสังคม

ผลลัพธ์ของโครงการ

ผู้พ้นโทษสามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี, ลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ, สร้างสังคมที่ปลอดภัย, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ

คำสำคัญ

  • การป้องกันการกระทำผิดซ้ำ
  • การคืนคนดีสู่สังคม
  • การฟื้นฟูผู้พ้นโทษ
  • สิทธิมนุษยชน
  • การแก้ไขกฎหมาย

การตอบเป้าหมายตามแผนพัฒนา

  • การปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดบนหลักสิทธิมนุษยชน - โครงการเน้นการเปิดโอกาสให้ผู้เคยกระทำผิดทางอาญาได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ถูกตีตรา และไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นหัวใจของการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
  • การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม - โครงการมุ่งลดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้พ้นโทษ และทำให้พวกเขามีโอกาสเข้าถึงโอกาสในระบบราชการอย่างเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป
  • การสร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมาย - โครงการพยายามเปลี่ยนทัศนคติของสังคมให้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เคยกระทำผิดและสร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับการฟื้นฟูแทนการตีตรา
  • การมีกฎหมายดี ที่จําเป็น ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทของสังคม - โครงการเสนอการแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่กีดกันผู้พ้นโทษอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและบริบทสังคมปัจจุบัน